น้ำหอมกับผู้หญิง
1. กลิ่นหอมเขียว ๆ คล้ายกลิ่นพืช
เช่น กลิ่นเมื่อขยี่ใบไม้ (Green motes)
2. กลิ่นหอมดอกไม้ซึ่งมีกลิ่นต่าง
ๆ กันตามแต่ละชนิดของดอกไม้ (Floralnotes)
3. กลิ่นหอมมัน ๆ คล้ายกะทิ
หรือ หนังสัตย์ (Aldehydic notes)
4. กลิ่นหอมหวานปนกันหลายอย่างแยกเป็นกลิ่นในธรรมชาติไม่ได้
(Chypre notes)
5. กลิ่นหอมหวานละมนละไมและอาจมีกลิ่นของน้ำมันจันทน์หอมหรือกำยานเป็นหลัก
(Oriental notes)
6. กลิ่นเครื่องเทศหรือกลิ่นบุหรี
(Spicy notes)
7. กลิ่นที่เกิดจากการผสมผสานของหลายกลิ่นที่มีในธรรมชาติ
(Fougere notes)
การเลือกซื้อน้ำหอมกลิ่นที่ถูกใจอาจจะทดลองกลิ่นโดยดมจากขวดหรือทาน้ำหอมลงบนผิวหนังและเสื้อ
ผ้า น้ำหอมแต่ละชนิดจะมีกลิ่นในระดับต่าง
ๆ อยู่สามระดับคือ
1. กลิ่นนำ เป็นกลิ่นหอมที่ได้รับจากการสุดดมในระยะแรก
มักจะเป็นกลิ่นหอมแหลม
2. กลิ่นพื้น เป็นกลิ่นหอมที่ติดตามต่อจากกลิ่นแรกเป็นกลิ่นหอมเนื้อแท้มักจะเป็นกลิ่นหอมนุ่มนว
3. กลิ่นหลัก เป็นกลิ่นหอมที่ได้หลังสุดหลังจากกลิ่นแหลมและกลิ่นปานกลางหมดไปแล้ว
น้ำหอมที่ขายกันมี 4 ลักษณะ
1. โคโลญ เขาได้ผสมกลิ่นหอมของผิวส้มเป็นกลิ่นนำแล้วมีกลิ่นจันทน์เทศและกลิ่นตะไคร้ตามหลัง
2. โลชั่น นำมาจากดอกไม้ที่ใช้สำหลับกลั่นหัวน้ำหอม
โลชั่น จะมีกลิ่นหอมแรงกว่าโคโล
3. เพอฟูม จะมีกลิ่นแรงกว่าโลชั่น
จัดเป็นน้ำหอมที่มีกลิ่นแรงที่สุดในบรรดากลุ่มน้ำหอมทั้งหมด
4. เพอฟูม สเปรย์ เป็นน้ำหอมที่ใช้ในรูปของสเปรย์พ่น
การดูแลเพื่อให้น้ำหอมคงทนและไม้แปรสภาพจึงควรจะเก็บขวดน้ำหอมไว้ในที่มืดและเย็นประมาณ50
องศา ปิดจุกขวดให้สนิทและไม่ควรเทเข้าเทออกโดยไม่จำเป็น
ปัญหาที่คนส่วนใหญ่มักจะกลัวในการใช้
น้ำหอมคือ แพ้น้ำหอม ทาแล้วมีผื่นแดงและคัน
ถ้าสงสัยว่าแพ้ให้หยุดใช้ทันที่แล้วนำมาทดสอบดูโดยเท
น้ำหอมเพียงเล็กน้อยที่ด้านในของข้อพับวันละสองครั้งนาน
2-5 วัน ถ้าเกิดผื่นแดงและคันแสดงว่าน่า
จะแพ้จริง และยังีอาการแพ้อีกอย่างหนึ่งจากน้ำหอมที่ต้องเกิดร่วมกับการตากแดด
เมื่อหายแล้วมัก
มีรอยดำ ๆ เหลือไว้